โทนเนอร์ คืออะไร? วิธีใช้ ตัวไหนดี? ควรใช้ตอนไหน

โทนเนอร์ คืออะไร วิธีใช้ ตัวไหนดี ควรใช้ตอนไหน-01

“ หน้าที่ของโทนเนอร์คือ ใช้เช็ดทำความสะอาดสิ่งสกปรกในขั้นตอนสุดท้ายของการล้างหน้า ใช้เพื่อให้แน่ใจว่าผิวหน้าของเรานั้นสะอาดและปราศจากสิ่งสกปรกที่ตกค้าง โทนเนอร์ยังช่วยช่วยปรับสภาพผิวหน้าของเราให้มีความชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวหน้าเปิดรับการบำรุงได้ล้ำลึกกว่าเดิมก่อนที่เราจะลงครีมบำรุงต่างๆ ลงไปนั่นเอง ”

ในปัจจุบันนี้ โทนเนอร์ ถือว่าเป็น ไอเทมที่สำคัญสำหรับการดูแลผิวหน้าเลยทีเดียวสำหรับใครที่ต้องการดูแลผิวเพิ่มเติมเป็นพิเศษก็อย่างลืม ลองหาซื้อ โทนเนอร์มาลองใช้กันได้นะคะ

สารบัญ

โทนเนอร์ตัวไหนดี?

โทนเนอร์ยี่ห้อไหนดี รีวิวเปรียบเทียบ Toner ที่ดีที่สุด

โทนเนอร์ตัวไหนดี ราคาถูก หาซื้อง่าย

โทนเนอร์ คืออะไร?

โทนเนอร์ คือ ผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ในรูปแบบเช็ดทำความสะอาดสิ่งสกปรกบนใบหน้า ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลของผิว ช่วยให้ผิวหน้าเปิดรับการบำรุงได้ล้ำลึกกว่าเดิมมากขึ้น ก่อนที่จะลงครีมบำรุงต่างๆ ลงไป

โทนเนอร์จะช่วยให้ครีมบำรุงทำงานดีขึ้น โดยครีมจะซึมซาบลงสู่ผิวง่ายและลึกมากขึ้น หากใช้ครีมบำรุงหลังโทนเนอร์ หรือบางยี่ห้อ อาจมีการเพิ่มประโยชน์ในแง่อื่นๆ เช่น ความขาวกระจ่างใส และลดเลือนริ้วรอยได้อีกด้วยนะคะ

โทนเนอร์ควรใช้ตอนไหนดีที่สุด?

โดยส่วนใหญ่ เป็นโทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติที่สามารถใช้ได้ ทั้งเช้า – เย็น ไม่มีผลทำให้ผิวไวต่อแสง หรือ หลักการง่ายๆ ล้างหน้าเมื่อไร่ก็สามารถเช็ดโทนเนอร์ตามได้ทันทีค่ะ

ใช้โทนเนอร์เพื่ออะไร ?

โทนเนอร์ คือ สิ่งที่จะช่วยทำความสะอาดผิว และเปิดรูขุมขน เพื่อให้การบำรุงทำงานได้ดีขึ้น เพราะรูขุมขนที่ได้รับการทำความสะอาดหมดจด จะช่วยให้ผิวและรูขมขุน เปิดรับการบำรุง สำหรับครีมต่างๆที่เราจะใช้ทาลงบนผิวหน้าในขั้นตอนต่อไป ได้ล้ำลึกกว่าเดิมนั้นเองค่ะ

โทนเนอร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภท

1. โทนเนอร์สำหรับทำความสะอาด

โทนเนอร์สำหรับทำความสะอาด คือ จะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้า เช่นฝุ่นละออง ความมัน ควัน หรือแม้แต่อากาศที่ไม่สะอาด ซึ่งเป็นส่วนเกินบนใบหน้า และเครื่องสำอางที่ยังตกค้างอยู่บนรูขุมขน เพราะต่อให้ใช้ Makeup Remover แล้วก็อาจจะล้างออกไม่สะอาดทั้งหมด ยิ่งถ้ารีบๆก็มี่ได้ช่วยอะไรเลย

การใช้โทนเนอร์จึงเป็นตัวช่วยในการทำความสะอาดได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่วนใหญ่โทนเนอร์ประเภทนี้มักจะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบร่วมในเนื้อโทนเอนร์ด้วย

2. โทนเนอร์บำรุงผิว

โทนเนอร์บำรุงผิว คือ จะมีส่วนผสมของวิตามินประเภทต่างๆ เกลือแร่ และสารบำรุงผิว (ทั้งเคมีและสารสกัดจากทำธรรมชาติ) ที่จะช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าจะไม่แห้งเป็นขุย ช่วยให้ผิวหน้าแข็งแรงมากขึ้น และทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ไม่แห้งกร้านหรือหยาบลงกว่าเดิม

3. โทนเนอร์กำจัดสิว

โทนเนอร์กำจัดสิวคือ จะมีการเติมสาร Salicylic Acid หรือ BHA ที่ช่วยรักษาในเรื่องสิว อุดตัน ช่วยลดเลือนริ้วรอยแดง และรอยดำที่เกิดจากปัญหาสิวประเภทต่างๆที่ขึ้นบนใบหน้า อีกทั้งยังช่วยลดความมัน กระชับรูขุมขน ทำให้ใบหน้าที่เคยหมองคล้ำกลับมาขาวสว่างกระจ่างใส ลดโอกาสการเกิดสิวในอนาคตได้อีกด้วย

โทนเนอร์เหมาะกับผิวแบบไหนบ้าง?

1. ผิวแห้ง

แนะนำโทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นกับใบหน้าเป็นหลัก เพราะผิวแห้งจะมีความเสี่ยงเกิดรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่น ๆ ควรเลือกโทนเนอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และให้ความชุ่มชื้นกับผิว จะช่วยให้ผิวไม่แห้งกร้าน

เพิ่มเติม: ควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น การเติมน้ำให้ผิว มอบความชุ่มชื่นให้กับผิว เพิ่มด้วย

2. ผิวมันหรือผิวผสม

แนะนำโทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติที่เน้นในเรื่องขจัดสิ่งสกปรกเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นคราบฝุ่น คราบเครื่องสำอาง เพราะผู้ที่มีผิวมันหรือมีผิวผสมจะมีโอกาสเกิดสิวง่ายกว่าผิวประเภทอื่น

เพิ่มเติม: ควรเลือกใช้โทนเนอร์ ที่ไม่มีส่วนผสมของ น้ำมัน น้ำหอม และ แอลกอฮอล์ จะเป็นดีที่สุด เนื่องจากสารต่างๆ อาจะมีผลทำให้เกิดการระคายเคืองได้ และควรเลือกที่มีคุณสมบัติที่ช่วย ขจัดความมันส่วนเกิด ลดการอุดตันรูขุมขน และ มีสารในการลดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว

3. ผิวธรรมดา

แนะนำโทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติเน้นการบำรุง ผิวแบบธรรมดาถือว่าโชคดีกว่าทุกผิว เพราะผิวไม่ได้มีปัญหาในเรื่องความมันหรือความแห้ง จึงสามารถใช้โทนเนอร์ได้ทุกสูตร ไม่ว่าจะเป็นโทนเนอร์ที่เน้นในเรื่องของการทำความสะอาดหรือเน้นบำรุงผิวก็สามารถเลือกตามใจชอบได้เลย แต่ถ้าเป็นแอดมิน แอดมินขอแนะนำให้เลือกสูตรการบำรุงที่ชุมชื่นจะดีที่สุดค่ะ

เพิ่มเติม: ควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่มีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น การเติมน้ำให้ผิว มอบความชุ่มชื่นให้กับผิว เพิ่มด้วย

ประโยชน์ของโทนเนอร์ มีอะไรบ้าง?

  1. มีหน้าที่ช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรก ที่ตกค้างจากการล้างทำความสะอาดใบหน้า
  2. ช่วยปรับสภาพผิว ปรับค่า PH ให้พร้อมก่อนการทาครีมบำรุงผิว (การปรับค่า Ph ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ โทนเนอร์ มามีอิทธิพล เพราะส่วนมาก Cleanser ในตลาด ก็จะมี ค่า Ph ที่เป็นเบส ค่อนข้างสูง (ประมาณ 7 ขั้นไป) ซึ่งอาจจะทำให้ การทาผลิตภัณท์ต่อไป อาจไม่ค่อยดี ผิวจะได้รับสารอาหารดีที่สุดเมื่ออยู่สภาวะ เป็นกลาง 4.5-5.5 (หรือสภาวะ Ph แบบกรดอ่อนเช่น Vit C แบบ AA request ph 3-4 , AHA BHA ก็เช่นเดียวกัน)  ก็ใช้โทนเนอร์เช็ด เราเลยไม่ต้องรอให้ผิว ปรับ Ph ตัวเอง ก็เลยจะมีประโยชน์เพื่อให้ครีมซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น
  3. โทนเนอร์ที่ดีควรมีส่วนผสมของวิตามิน โปรตีนที่จำเป็นและเกลือแร่ ที่มีสารประกอบเพื่อช่วยในการบำรุงผิว ช่วยลดความมัน กระชับรูขุมขนสำหรับคนผิวมัน ช่วยเติมความชุ่มชื้นสำหรับคนผิวแห้ง ซึ่งโทนเนอร์ที่คุณสมบัติที่หลากหลาย และมีความปลอดภัยอ่อนโยนต่อผิวนั้น อาจจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงแต่หากแลกกับความคุ้มค่าและผลลัพธ์นั้น ถือว่าคุ้มมากๆเลยคะ
  4. หากต้องการโทนเนอร์ที่ช่วยลดปัญหาการเกิดสิว ก็อาจจะดู โทนเนอร์ที่มีส่วนผสม ของ Salicylic acid หรือ AHA BHA PHA ที่ช่วยเรื่องการผลัดเซลล์ผิว หรือ ส่วนผสมต่างๆที่ช่วยลดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว

การใช้โทนเนอร์ให้ถูกวิธีนั้นต้องใช้อย่างไร?

  1. หลังทำความสะอาดผิวหน้า ให้ซับหน้าให้แห้ง สำหรับผิวที่มีปัญหาเรื่องเป็นสิวง่าย แนะนำการซับหน้าหลังล้างหน้า ควรใช้กระดาษทิชชู่ซับหน้าให้แห้ง แทนการใช้ ผ้าขนหนู เนื่องจากผ้าขนหนู มีเซลล์เสื่อมสภาพที่เกาะตามผ้าอยู่มากมาย เมื่อเราทำความสะอาดหน้า แล้วนำผ้าขนหนูไปซับหน้า ก็เหมือนกับว่า นำสิ่งสกปรกกลับลงไปที่ผิวหน้าอีกครั้ง ก็อาจจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการอุดตันและเป็นสิวได้
  2. หยดโทนเนอร์ลงบนสำลี แนะนำ เป็นสำลีที่สำหรับใช้ร่วมกับเครื่องสำอางจะดีกว่าหยดให้สำลี ชุ่มพอประมาน ไม่เยอะจนเกินไป และ ไม่แห้งจนเช็ดแล้วหน้าเรามีขลุยสำลีติดออกมา ถือว่าโอเคร วิธีการเช็ด สามารถเช็ดตามแนวโพรงขน เช็ดลง หรือ ส่วนใหญ่นิยมเช็ดย้อนรูขุมขนเพื่อเปิดรูขุมขน ทำความสะอาดรูขุมขนได้อย่างล้ำลึก
  3. เช็ดสำลี ที่ผิวหน้าอย่างเบามือ ไม่ต้องออกแรงเยอะจนเกินไป ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า
  4. การเช็ดทำความสะอาด อาจจะใช้สำลีเช็ดทีละครึ่งหน้า เพื่อให้สามารถทำความสะอาดใบหน้าได้อย่างทั่วถึง เมื่อเช็ดเสร็จแล้ว ให้กลับสำลีอีกฝั่งเพื่อเช็ดทำความสะอาดส่วนที่เหลือ
  5. การใช้ โทนเนอร์ สามารถที่จะใช้ได้หลายแบบ ตามวัตถุประสงค์ เช่น
  6. ต้องการ ลดความมัน ทำความสะอาดลดการเกิดสิว ก็อาจจะใช้ร่วมกับสำหรับ แล้วเช็ดที่ผิวหน้า
  7. ต้องการบำรุงผิวเพิ่มความชุ่มชื่น ก็สามารถที่จะนำ โทนเนอร์ มาหยดใส่มือแล้วนำมาตบหน้าเบาๆ แทนน้ำตบได้
  8. หลายคนจะเคยได้ยินว่า นำโทนเนอร์ ใส่สำลี แล้วนำมาทำในรูปแบบ แผ่นมาส์ก เพื่อบำรุงผิว ก็สามารถนำมาใช้แบบนี้ได้เช่นเดียวกัน อยู่ที่ใครมีเวลามากน้อยเท่านั้นเองค่ะ สะดวกแบบไหนก็ทำแบบนั้นดีที่สุดค่ะ

วิธีใช้โทนเนอร์เช็คหน้าไม่ให้สิวขึ้น และหน้าไม่เหี่ยว

  1. เทผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางหรือโทนเนอร์ ลงบนแผ่นสำลี
  2. เช็ดใบหน้าด้วยสำลีไปตามทิศทางของลูกศรตามรูปข้างบน โดยไล่มาตั้งแต่หน้าผาก เช็ดออกมาทางด้านข้างของศรีษะทั้ง 2 ข้าง
  3. จากนั้นก็เช็ดลงมาที่จมูกตั้งแต่บริเวณหัวตา มาที่ดั้ง ปลายขมูก และบริเวณด้านบนของปาก
  4. จากนั้นเช็ดบริเวณแก้ม โหนกแก้ม โดยลูบออกทางด้านข้างตามลูกศร ไล่ให้ทั่วบริเวณ โดยถูเป็นทิศทางเดียวกันตลอด
  5. สุดท้ายให้ถูบริเวณคางเป็นแนวดิ่งลง

เพิ่มเติม: การเช็ดหน้าตามแนวขนที่ดีนั้น ควรเช็ดอย่างเบามือแระประณีสุด อย่าถูหน้าแรงเพราะจะทำให้วิธีที่เรากำลังทำอยู่นี้ศูนย์เปล่า อาจเกิดการระคายเคืองหรือริ้วรอยตามมาได้ และที่สำคัญให้ถูหน้าตามแนวลูกศรในรูป ห้ามถูสวนทางขึ้นมาเด็ดขาด หากทำแบบนี้อย่างสม่ำเสมอ สิวอุดตันจะลดน้อยลง ดูเรียบเนียนขึ้น ถ้าไม่เชื่อลองทำตามที่แอดมินบอกได้นะคะ

วิธีการใช้โทนเนอร์สำหรับมือใหม่

  1. การใช้โทนเนอร์ ต้องเช็ดหลังจากหลังหน้าเสร็จใหม่ ๆ ตอน เช้า-เย็น ก่อนบำรุงผิว
  2. เลือกใช้สำลีแบบแผ่น เพราะจะทำความสะอาดใบหน้าได้ง่าย และเข้าถึงผิวได้มากกว่า แต่สำหรับสาวผิวแพ้ง่าย ก็ต้องเลือกสำลีที่อ่อนโยนกับผิวหรือใช้มือในการกดโทนเนอร์ให้เข้ากับผิว
  3. หยดโทนเนอร์ในปริมาณเท่าเหรียญสิบบาท จับสำลีให้ถนัดมือแล้วค่อย ๆ เช็ดผิวหน้าอย่างเบามือ จะเช็ดหน้าที่ละครึ่งหน้าก็ได้ โดยเน้นในส่วนที่ทำสะอาดหน้าไม่ทั่วถึงอย่าง บริเวณรอบดวงตา จมูก
  4. หลังจากที่ใช้โทนเนอร์แล้ว ไม่ต้องล้างออกนะคะ สามารถทาครีมบำรุงผิวต่อได้เลยตามที่ต้องการนะคะ

ข้อดี

  • ช่วยทำความสะอาดผิว กำจัดสิ่งสกปรกตกค้างบนใบหน้า
  • ช่วยปรับสภาพผิวก่อนทาครีม ทำให้ครีม ซึมเข้าบำรุงได้ดียิ่งขึ้น
  • ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดสาเหตุของผิวหมองคล้ำ
  • ช่วยให้รูขุมขนกระชับ ผิวหน้าเรียบเนียน
  • ช่วยให้ผิวหน้าแข็งแรง ชุ่มชื้น ไม่แห้งเป็นขุย
  • ลดริ้วรอย ให้ใบหน้าตึงกระชับ
  • ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน แต่งหน้าติดทน

ข้อเสีย

  • ราคาแพง
  • หมดเร็ว
  • เห็นผลช้า

Toner โทนเนอร์ตัวไหนดี ราคาถูก ช่วยเรื่องผิว

1. ขจัดฝุ่นผงและสิ่งตกค้างบนใบหน้า

โทนเนอร์ Neutrogena

ข้อมูลผลิตภัณฑ์

  • ยี่ห้อ: Neutrogena
  • ปริมาณ: Neutrogena Alcohol-Free Toner 150 Ml.
  • ราคา: 186 บาท
  • ลักษณะ: โทนเนอร์สูตรปราศจากแอลกอฮอล์  เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
  • จุดเด่น: ขจัดฝุ่นผงและสิ่งตกค้างบนใบหน้าและปรับสมดุลผิว
  • หาซื้อได้: waston, shopee, lazada

ส่วนประกอบ

  • Water, PEG-4, Butylene Glycol, Polysorbate 20, Ceteth-24, Choleth-24, Panthenol, Glycereth-26, Sodium PCA, Benzal-konium Chloride, Disodium EDTA, Sodium Chloride, Methylparaben, Propylparaben, Fragrance.

2. ทำความสะอาดรูขุมขน ลดสิวอุดตัน

โทนเนอร์ Smooth E

ข้อมูลผลิตภัณฑ์

  • ยี่ห้อ: Smooth E
  • ปริมาณ: Smooth E Acne Clear Whitening Toner 150 Ml.
  • ราคา: 300 บาท
  • ลักษณะ: โทนเนอร์สูตรปราศจากแอลกอฮอล์  เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
  • จุดเด่น: ช่วยบำรุงผิว ให้ผิวขาวกระจ่างใส ลดความมันบนใบหน้า
  • หาซื้อได้: waston, shopee, Lazada

ส่วนประกอบ

  • น้ำ , แอลกฮออล์ , วิตามินอี , แอคนิคธรรมชาติ ปราศจากน้ำมัน ไม่ใส่สารพาราเบน

3. โทนเนอร์ Organic สารสกัดจากธรรมชาติ

โทนเนอร์ Plantnery

ข้อมูลผลิตภัณฑ์

  • ยี่ห้อ: Plantnery
  • ปริมาณ: Plantnery Green Tea First Toner 250 ml
  • ราคา: 129 บาท
  • ลักษณะ: โทนเนอร์ช่วยล้างสารเคมีตกค้างและเติมความชุ่มชื่น ลดสิวผด
  • จุดเด่น: มอบความชุ่มชื่นและสดชื่นด้วยสารสกัดของใบชาเขียวจากธรรมชาติ 100 %
  • หาซื้อได้: waston, shopee, Lazada

ส่วนประกอบ

  • สารสกัด organic เมล็ดชาเขียวจากธรรมชาติ 100 %

4. ผลัดเซลล์ผิวเก่า เผยเซลล์ผิวใหม่ใสเว่อ

โทนเนอร์ Skin1004

ข้อมูลผลิตภัณฑ์

  • ยี่ห้อ: Skin1004
  • ปริมาณ: Madagascar Centella Toning Toner 210 ml
  • ราคา: 483 บาท
  • ลักษณะ: โทนเนอร์ทำความสะอาดรูขุมขนผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ อย่างอ่อนโยน
  • จุดเด่น: เหมาะสำหรับผิวบอบบ้าง แพ้ง่าย
  • หาซื้อได้: waston, shopee, Lazada

ส่วนประกอบ

  • Centella Extract from Madagascar(84), Purified Water, Dipropylene Glycol, 1,2-Hexanediol, Niacinamide, Glucono delta-Lactone, Tromethamine, Carbomer, Sodium Citrate, Adenosine, Disodium EDTA, Dipotassium Glycyrrhizate, Betaine,Hyaluronic Acid, Ethylhexylglycerin