10 อันดับ เครื่องสําอางแบรนด์ไทย 2024

เครื่องสําอางแบรนด์ไทยนอดนิยม คือ

  1. Srichand (ศรีจันทร์) – แบรนด์ตำนานอายุกว่า 70 ปี มีทั้งเครื่องสำอางและสกินแคร์
  2. 4U2 – แบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น อายแชโดว์ บลัชออน ลิปสติก
  3. CUTE PRESS – ได้รับรางวัล HWB 2024 สำหรับผลิตภัณฑ์อายแชโดว์และบลัชออน
  4. Mistine – แบรนด์เครื่องสำอางไทยยุคแรกที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
  5. Oriental Princess – มีผลิตภัณฑ์เด่นอย่างเซรั่มวิตามินซี
  6. BSC – มีแป้งผสมรองพื้นที่ได้รับความนิยม
  7. Sasi – แบรนด์ย่อยของศรีจันทร์ ที่เน้นกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น
  8. KMA Cosmetics – เครื่องสำอางสำหรับวัยเรียน เฉดสีสดใส
  9. XOXO – แบรนด์ที่มีกลิ่นอายความเป็นเกาหลี
  10. Merrezca – มีเคาน์เตอร์แบรนด์เป็นของตัวเอง โดดเด่นด้านรองพื้นและลิปสติก

แบรนด์เหล่านี้ได้รับความนิยมเนื่องจากมีคุณภาพดี ราคาไม่แพง และเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย

อันดับ 1: Srichand (ศรีจันทร์)

ข้อมูลทั่วไป:

  • ก่อตั้ง: มีประวัติยาวนานกว่า 70 ปี
  • จุดเด่น: ผสมผสานตำนานความงามไทยกับนวัตกรรมสมัยใหม่
  • กลุ่มเป้าหมาย: ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ
  • ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) โดยคุณพงษ์ หาญอุตสาหะ
  • เริ่มต้นจากการซื้อสูตรผงหอมจากหมอเหล็ง ศรีจันทร์
  • ผลิตภัณฑ์แรกที่โด่งดังคือ ผงหอมศรีจันทร์ (แป้งพอกหน้าคุมมัน)
  • ปี 2549 คุณรวิศ หาญอุตสาหะ (ทายาทรุ่นที่ 3) เข้ามาบริหารและเริ่มปรับโฉมองค์กรครั้งใหญ่
  • ปี 2557 รีแบรนด์เป็น “แบรนด์ศรีจันทร์” พัฒนาสูตรและภาพลักษณ์ให้ทันสมัย
  • ปัจจุบันมีอายุกว่า 72 ปี เน้นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวคนไทย
  • ขยายธุรกิจครอบคลุมกลุ่ม HWB (Health, Wellness, and Beauty)
  • มีพนักงาน 166 คน (ณ กันยายน 2564)
  • มีคู่ค้าในประเทศญี่ปุ่น ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ และมาเลเซีย
  • สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ
  • มีลูกค้ามากกว่า 200,000 ราย

ผลิตภัณฑ์เด่น:

  • แป้งฝุ่นศรีจันทร์ – แป้งฝุ่นสูตรดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมมายาวนาน
  • Translucent Powder – แป้งฝุ่นโปร่งแสงรุ่นใหม่ ช่วยคุมมันและปกปิดรูขุมขน
  • สกินแคร์สูตรสมุนไพร – ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้สมุนไพรไทยเป็นส่วนผสมหลัก

จุดเด่น:

  • คุณภาพสูง: ใช้วัตถุดิบคุณภาพดี ผ่านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
  • ราคาสมเหตุสมผล: ให้คุณภาพระดับพรีเมียมในราคาที่จับต้องได้
  • เอกลักษณ์ไทย: นำเสนอความงามแบบไทยผสมผสานกับความทันสมัย

จุดด้อย:

  • ภาพลักษณ์เดิม: บางคนอาจยังมองว่าเป็นแบรนด์สำหรับผู้ใหญ่
  • การกระจายสินค้า: อาจหาซื้อยากในบางพื้นที่

ความคิดเห็นของผู้ใช้:

  • ส่วนใหญ่ชื่นชอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะแป้งฝุ่นที่ช่วยคุมมันได้ดี
  • หลายคนประทับใจกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้น
  • มีความเชื่อมั่นในแบรนด์เนื่องจากมีประวัติยาวนานและเป็นที่รู้จักดี

บทสรุป

Srichand เป็นแบรนด์เครื่องสำอางไทยที่สามารถยืนหยัดในตลาดได้อย่างยาวนาน ด้วยการผสมผสานระหว่างตำนานความงามแบบไทยและนวัตกรรมสมัยใหม่ แม้จะมีการแข่งขันสูงในตลาด แต่ Srichand ยังคงรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้ พร้อมทั้งขยายฐานลูกค้าใหม่ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้น การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและการรักษาคุณภาพทำให้แบรนด์นี้ยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องสำอางไทยชั้นนำในปัจจุบัน

อันดับ 2: 4U2 (โฟร์ยูทู)

ข้อมูลทั่วไป:

  • ผู้บริหาร: แมรี่-อมรรัตน์ อภิรัตน์วรากุล (กรรมการผู้จัดการ)
  • สินค้าหลัก: ลิปสติก, บลัชออน
  • ก่อตั้ง:ก่อตั้งในปี 2002 เป็นแบรนด์ไทยที่ก่อตั้งมานานกว่า 10 ปี
  • จุดเด่น: เครื่องสำอางคุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้ เน้นความหลากหลายของสีสัน
  • กลุ่มเป้าหมาย: วัยรุ่นและวัยทำงานตอนต้น ที่ชื่นชอบเครื่องสำอางทันสมัย มีสีสัน
  • แบรนด์เครื่องสำอางสัญชาติไทย
  • ผลิตเครื่องสำอางคุณภาพดีราคาไม่แพง
  • ออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์สาวไทยโดยเฉพาะ
  • ชื่อจดทะเบียน: บริษัท โฟร์ยูทู โค จำกัด
  • ประเภทธุรกิจ: ผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอาง
  • จดทะเบียนเมื่อ: 27 กันยายน 2544
  • ทุนจดทะเบียน: 5,000,000 บาท

ผลิตภัณฑ์เด่น:

  • อายแชโดว์พาเลต – มีหลากหลายโทนสี ทั้งแบบแมตต์และชิมเมอร์
  • ลิปสติก – มีทั้งแบบแมตต์ และ เนื้อครีม หลากหลายเฉดสี
  • รองพื้น – มีหลายรุ่นที่เหมาะกับสภาพผิวต่างๆ
  • ทำสินค้าหลายสี ตอบสนองความต้องการลูกค้า
  • เน้นกลุ่มเป้าหมายอายุ 14-25 ปี
  • ราคาไม่แพง จัดโปรโมชั่นบ่อย
  • ทำ co-creation ร่วมกับบิวตี้อินฟลูเอนเซอร์

จุดเด่น:

  • ความหลากหลาย: มีผลิตภัณฑ์และเฉดสีให้เลือกมากมาย
  • ราคาประหยัด: คุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้
  • นวัตกรรม: มีการพัฒนาสูตรและเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ
  • การกระจายสินค้า: หาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้า

จุดด้อย:

  • ความทนทาน: บางผลิตภัณฑ์อาจมีความติดทนน้อยกว่าแบรนด์ระดับพรีเมียม
  • บรรจุภัณฑ์: อาจดูไม่หรูหราเท่าแบรนด์ราคาสูงกว่า

ความคิดเห็นของผู้ใช้:

  • ชื่นชอบความหลากหลายของสีสันโดยเฉพาะอายแชโดว์และลิปสติก
  • พอใจกับคุณภาพเมื่อเทียบกับราคา
  • บางคนรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์บางชิ้นอาจไม่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย

บทสรุป

4U2 เป็นแบรนด์เครื่องสำอางไทยที่ประสบความสำเร็จในการตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและวัยทำงานตอนต้น ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย ทันสมัย และราคาเข้าถึงได้ แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องความทนทานของบางผลิตภัณฑ์ แต่ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและการตอบสนองเทรนด์ความงามล่าสุด ทำให้ 4U2 ยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องสำอางไทยที่ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการเครื่องสำอางคุณภาพดีในราคาที่สมเหตุสมผล

อันดับ 3: CUTE PRESS

ข้อมูลทั่วไป:

  • ก่อตั้ง: เป็นแบรนด์ในเครือของบริษัท คิวพี (ประเทศไทย) จำกัด
  • Cute Press (คิวท์เพรส): แบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามสัญชาติไทย
  • จุดเด่น: เครื่องสำอางและสกินแคร์คุณภาพดี ราคาย่อมเยา
  • กลุ่มเป้าหมาย: วัยรุ่นและวัยทำงานตอนต้น
  • เปิดตัวครั้งแรกในปี 2519 ด้วยแป้งคิวท์เพรส เพรส พาวเดอร์
  • มีประสบการณ์กว่า 40 ปีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
  • มีสินค้ากว่า 500 ชนิด
  • ต้องการให้ผู้หญิงทุกคนสวยได้ทุกวันด้วยราคาสบายกระเป๋า
  • เน้นพัฒนาสินค้าตามความต้องการของผู้หญิง
  • ออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับผิวชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ

ผลิตภัณฑ์เด่น:

  • Eye & Cheek Mini Palette – ได้รับรางวัล HWB 2024
  • แป้งผสมรองพื้น – ให้การปกปิดที่เป็นธรรมชาติ
  • ครีมกันแดด – ป้องกัน UVA และ UVB ได้ดี

จุดเด่น:

  • คุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้
  • ผลิตภัณฑ์หลากหลาย ครอบคลุมทั้งเครื่องสำอางและสกินแคร์
  • มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
  • เหมาะกับสภาพอากาศร้อนและชื้นแบบเขตร้อน
  • ใช้งานง่าย แม้สำหรับมือใหม่
  • ราคาเป็นมิตรต่อผู้บริโภค

จุดด้อย:

  • บางผลิตภัณฑ์อาจไม่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
  • การกระจายสินค้าอาจไม่ครอบคลุมเท่าแบรนด์ใหญ่

ความคิดเห็นของผู้ใช้:

  • ชื่นชอบคุณภาพที่คุ้มค่ากับราคา
  • พอใจกับความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
  • บางคนรู้สึกว่าบรรจุภัณฑ์อาจดูไม่หรูหรานัก

บทสรุป

CUTE PRESS เป็นแบรนด์ที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการเครื่องสำอางคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้ การได้รับรางวัล HWB 2024 แสดงให้เห็นถึงการยอมรับในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ แม้จะมีข้อจำกัดบางประการ แต่ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง CUTE PRESS ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคในตลาดเครื่องสำอางไทย

อันดับ 4: Mistine

ข้อมูลทั่วไป:

  • ก่อตั้ง: เป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องสำอางไทยยุคแรกๆ
  • จุดเด่น: ผลิตภัณฑ์หลากหลาย ราคาย่อมเยา
  • กลุ่มเป้าหมาย: ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน
  • ก่อตั้งเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2531 โดย ดร.อมรเทพ ดีโรจนวงศ์
  • เริ่มต้นด้วยอาคารพาณิชย์ 3 คูหา พนักงาน 4 คน สินค้าไม่ถึง 100 รายการ
  • ปัจจุบันมีสมาชิกมิสทินกว่า 1,000,000 คน
  • มีอาคารสำนักงานบนพื้นที่กว่า 30 ไร่ บนถนนรามคำแหง
  • มีศูนย์กระจายสินค้าเบทเตอร์แลนด์ พื้นที่กว่า 70 ไร่ ที่จังหวัดปทุมธานี
  • จากทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 10 ล้านบาท ปัจจุบันเพิ่มขึ้นกว่า 700 เท่า
  • ปัจจุบันมียอดขายต่อปีอยู่ที่ 13,700 ล้านบาท
  • คาดการณ์ยอดขายรวม 30,000 ล้านบาท ในอีก 5 ปีข้างหน้า
  • ขยายธุรกิจไปยังพม่า ลาว กัมพูชา และประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • มีแบรนด์ย่อยได้แก่ มิสทิน, ฟรายเดย์, ฟาริส บาย นาริส
  • แอปมิสทิน (แอปยุพิน) มีผู้ดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้ง และยอดขายกว่า 3,000 ล้านบาท (ข้อมูลเดือนพฤษภาคม 2561)

ผลิตภัณฑ์เด่น:

  • มาสคาร่า – เป็นที่นิยมมายาวนาน
  • แป้งผสมรองพื้น – ให้การปกปิดที่เป็นธรรมชาติ
  • ลิปสติก – มีหลากหลายเฉดสีและเนื้อสัมผัส

จุดเด่น:

  • ราคาประหยัด เข้าถึงได้ง่าย
  • มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
  • การกระจายสินค้าครอบคลุมทั่วประเทศ

จุดด้อย:

  • ภาพลักษณ์อาจดูไม่หรูหราเท่าแบรนด์ระดับพรีเมียม
  • บางผลิตภัณฑ์อาจมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ

ความคิดเห็นของผู้ใช้:

  • พอใจกับความคุ้มค่าของราคา
  • ชื่นชอบความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
  • บางคนรู้สึกว่าคุณภาพอาจไม่สม่ำเสมอในบางผลิตภัณฑ์

บทสรุป

Mistine เป็นแบรนด์ที่มีประวัติยาวนานในวงการเครื่องสำอางไทย ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในราคาที่เข้าถึงได้ ทำให้แบรนด์ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด แต่ Mistine ยังคงรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น

อันดับ 5: Oriental Princess

ข้อมูลทั่วไป:

  • ก่อตั้ง: เป็นแบรนด์เครื่องสำอางและสกินแคร์ไทยที่มีประวัติยาวนาน
  • จุดเด่น: ผสมผสานสมุนไพรไทยกับเทคโนโลยีสมัยใหม่
  • กลุ่มเป้าหมาย: ผู้หญิงวัยทำงานที่ใส่ใจสุขภาพผิว
  • ก่อตั้งในปี 2533 ภายใต้ชื่อแบรนด์ “โอเรียนทอล พริ้นเซส (ORIENTAL PRINCESS)”
  • ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมความงาม
  • บริษัทแม่คือ บริษัท โอ.พี. เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด
  • ทุนจดทะเบียน 78 ล้านบาท
  • ผู้บริหารคนสำคัญ: คุณจันทร์สิริ ศักดิ์พรทรัพย์ (กรรมการบริษัท)

ผลิตภัณฑ์เด่น:

  • Natural Power C Miracle Brightening Complex Power Boosting Serum
  • ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากสมุนไพรไทย
  • เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ

จุดเด่น:

  • ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติและสมุนไพรไทย
  • มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
  • ภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือในฐานะแบรนด์ไทยคุณภาพสูง

จุดด้อย:

  • ราคาอาจสูงกว่าแบรนด์ท้องถิ่นทั่วไป
  • บางผลิตภัณฑ์อาจมีกลิ่นสมุนไพรแรงเกินไปสำหรับบางคน

ความคิดเห็นของผู้ใช้:

  • ประทับใจกับการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ
  • ชื่นชอบผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะสกินแคร์
  • บางคนรู้สึกว่าราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับแบรนด์ไทยอื่นๆ

บทสรุป

Oriental Princess เป็นแบรนด์ที่สร้างจุดยืนในการผสมผสานภูมิปัญญาไทยกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและสมุนไพรไทย ทำให้แบรนด์ได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพผิว แม้ว่าราคาอาจสูงกว่าแบรนด์ท้องถิ่นทั่วไป แต่คุณภาพและผลลัพธ์ที่ได้ทำให้ Oriental Princess ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดเครื่องสำอางและสกินแคร์ไทย

อันดับ 6: BSC (Beauty Spring Cosmetic)

ข้อมูลทั่วไป:

  • ก่อตั้ง: เป็นแบรนด์ในเครือสหพัฒนพิบูล
  • จุดเด่น: เครื่องสำอางคุณภาพสูง เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีล่าสุด
  • กลุ่มเป้าหมาย: ผู้หญิงวัยทำงานที่ต้องการเครื่องสำอางคุณภาพดี
  • ก่อตั้งโดย บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
  • เริ่มธุรกิจเครื่องสำอางในปี 2507 ด้วยแบรนด์ PIAS จากญี่ปุ่น
  • เปิดตัวแบรนด์ BSC Cosmetology ในเดือนตุลาคม 2548
  • แนวคิดแบรนด์: “ตัวจริง สวยจริง”

ผลิตภัณฑ์เด่น:

  1. แป้งผสมรองพื้น BSC Smoothing Matte Power SPF20 PA++
  2. ลิปสติก BSC Diva Matte Lip Color
  3. รองพื้น BSC Expert White Liquid Foundation

จุดเด่น:

  • คุณภาพสูง เทียบเท่าแบรนด์นำเข้า
  • มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
  • เหมาะกับสภาพผิวและสภาพอากาศของคนไทย
  • เครื่องสำอางคุณภาพระดับสากล
  • ราคาจับต้องได้
  • ครอบคลุมทั้งเมคอัพ สกินแคร์ และน้ำหอม
  • มีช่องทางการขายหลากหลาย
  • ครองใจผู้บริโภคชาวไทยมากว่า 26 ปี
  • บุคลิกแบรนด์: มากกว่าคำว่า “สวย” – เน้นความฉลาดเลือก และรู้จักตัวเอง

จุดด้อย:

  • ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับแบรนด์ไทยทั่วไป
  • การกระจายสินค้าอาจไม่ครอบคลุมเท่าแบรนด์ดรักสโตร์

ความคิดเห็นของผู้ใช้:

  • ประทับใจกับคุณภาพที่เทียบเท่าแบรนด์นำเข้า
  • ชื่นชอบเนื้อสัมผัสและการติดทนของผลิตภัณฑ์
  • บางคนรู้สึกว่าราคาค่อนข้างสูงสำหรับแบรนด์ไทย

บทสรุป

BSC เป็นแบรนด์ที่สร้างชื่อเสียงในด้านคุณภาพและนวัตกรรม โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงเทียบเท่าแบรนด์นำเข้า แต่ยังคงคำนึงถึงความเหมาะสมกับสภาพผิวและสภาพอากาศของคนไทย แม้ว่าราคาอาจสูงกว่าแบรนด์ไทยทั่วไป แต่ BSC ก็ยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่ต้องการเครื่องสำอางคุณภาพดีในราคาที่ถูกกว่าแบรนด์นำเข้า

อันดับ 7: Sasi

ข้อมูลทั่วไป:

  • ก่อตั้ง: เป็นแบรนด์ย่อยของศรีจันทร์
  • จุดเด่น: เครื่องสำอางสำหรับวัยรุ่น เน้นสีสันสดใส
  • กลุ่มเป้าหมาย: วัยรุ่นและวัยเรียน
  • แบรนด์ย่อยของ “ศรีจันทร์”
  • ก่อตั้งเมื่อปี 2560 เพื่อขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่ม Young Generation
  • กลุ่มเป้าหมายอายุ 16-35 ปี
  • เน้นเครื่องสำอางคุณภาพดี ราคาคุ้มค่า

ในปี 2565 มีการรีแบรนด์ครั้งใหญ่:

  • ปรับภาพลักษณ์จาก Cosmetics Brand สู่ Beauty and Lifestyle Brand
  • ออกแบบลายโมโนแกรมใหม่
  • เปิดตัวสโลแกน “Because girls can”
  • เพิ่มไลน์สินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า กระเป๋า

ผลิตภัณฑ์เด่น:

  1. Sasi Kiss & Blush Stick Blush On
  2. ลิปสติกและลิปทินท์
  3. อายแชโดว์พาเลต
  4. Girls Can Speak Up Stay Tint
  5. Girls Can Define Auto Eyebrow Pencil
  6. Girls Can Shine/Be Bold Blush On
  7. Girls Can Be Unique Eyeshadow Palette

จุดเด่น:

  • ราคาย่อมเยา เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่น
  • สีสันสดใส ทันสมัย
  • ผลิตภัณฑ์หลากหลาย ครอบคลุมทุกความต้องการ

จุดด้อย:

  • อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการลุคผู้ใหญ่หรือเป็นทางการ
  • ความทนทานอาจน้อยกว่าแบรนด์ระดับพรีเมียม

ความคิดเห็นของผู้ใช้:

  • ชื่นชอบราคาที่เข้าถึงได้ง่าย
  • พอใจกับความหลากหลายของสีสัน
  • บางคนรู้สึกว่าคุณภาพอาจไม่สม่ำเสมอในบางผลิตภัณฑ์

บทสรุป

Sasi เป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่น ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีสีสันสดใส ทันสมัย และราคาย่อมเยา แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องความทนทานและภาพลักษณ์ที่อาจดูไม่เป็นผู้ใหญ่นัก แต่ Sasi ก็ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการเริ่มต้นใช้เครื่องสำอาง

อันดับ 8: KMA Cosmetics

ข้อมูลทั่วไป:

  • ก่อตั้ง: เป็นแบรนด์เครื่องสำอางไทยที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น
  • จุดเด่น: เครื่องสำอางสีสันสดใส เหมาะกับวัยเรียน
  • กลุ่มเป้าหมาย: นักเรียน นักศึกษา และวัยรุ่นตอนต้น
  • เครื่องสำอาง KMA เป็นเครื่องสำอางสัญชาติไทยแท้
  • อยู่คู่กับสาวไทยมานานกว่า 20 ปี
  • ชื่อเดิมคือ K ma (อ่านว่า เค-มา)
  • เริ่มต้นผลิตสำหรับเมคอัพอาร์ติสท์ในวงการบันเทิงและแฟชั่น
  • เป็นเครื่องสำอางที่ใช้ในการแต่งหน้านักแสดงในละครหลายเรื่อง
  • ได้รับความนิยมจนแพร่หลายสู่ประชาชนทั่วไป ทั้งวัยรุ่น นักศึกษา และวัยทำงาน
  • มีการรีแบรนด์เปลี่ยนชื่อจาก K ma เป็น KMA (Kit Make up Applicator)
  • ปรับแพคเกจจิ้งใหม่เป็นแนว Fairy Tale
  • มีจำหน่ายตามเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าทั่วไป
  • ล่าสุดได้ โบกี้ ไลอ้อน มาเป็นพรีเซนเตอร์คนใหม่ เพื่อเจาะกลุ่ม Gen C และ Gen Z
  • มีแนวคิดเรื่องความงามอย่างเท่าเทียม ไม่แบ่งแยกเพศสภาพ โทนสีผิว หรือเชื้อชาติ

ผลิตภัณฑ์เด่น:

  • อายแชโดว์พาเลต
  • ลิปสติกและลิปทินท์
  • บลัชออน

จุดเด่น:

  • ราคาประหยัด เหมาะกับกลุ่มวัยเรียน
  • สีสันสดใส เข้ากับเทรนด์วัยรุ่น
  • ผลิตภัณฑ์หลากหลาย ครอบคลุมการแต่งหน้าพื้นฐาน

จุดด้อย:

  • อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการลุคเป็นทางการ
  • คุณภาพอาจไม่สูงเท่าแบรนด์ระดับกลางถึงพรีเมียม

ความคิดเห็นของผู้ใช้:

  • ชื่นชอบราคาที่จับต้องได้
  • พอใจกับความหลากหลายของสีสัน
  • บางคนรู้สึกว่าความติดทนอาจไม่นานนัก

บทสรุป

KMA Cosmetics เป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีสีสันสดใส ราคาประหยัด และความหลากหลาย ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้เครื่องสำอาง แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องคุณภาพและความทนทาน แต่ KMA ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่น่าจับตามองในตลาดเครื่องสำอางไทย

อันดับ 9: XOXO

ข้อมูลทั่วไป:

  • ก่อตั้ง: เป็นแบรนด์เครื่องสำอางไทยที่มีกลิ่นอายความเป็นเกาหลี
  • จุดเด่น: เครื่องสำอางสไตล์เกาหลี ราคาย่อมเยา
  • กลุ่มเป้าหมาย: วัยรุ่นและวัยทำงานตอนต้นที่ชื่นชอบสไตล์เกาหลี
  • เป็นแบรนด์เครื่องสำอางของประเทศไทย
  • ร่วมมือกับประเทศเกาหลีในการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์
  • มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในด้านดีไซน์ สี และคุณภาพ
  • ผ่านขั้นตอนการวิจัย ทดลอง และผลิตอย่างพิถีพิถัน
  • มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีและน่าจดจำให้กับผู้ใช้
  • ภาพลักษณ์ของแบรนด์สื่อถึงความคิ้วท์ สดใส และมีเสน่ห์
  • ใช้สีพีชเป็นสีหลักในการนำเสนอแบรนด์
  • ต้องการสื่อถึงความสดใส ขี้เล่น และมีเสน่ห์ของผู้หญิงทุกคน
  • มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น ลิปสติก XOXO Petit BonBon Liquid Matte Lip
  • ราคาอยู่ในระดับที่จับต้องได้ (เช่น ลิปสติกขนาดมินิราคา 220 บาท)
  • มีจำหน่ายทั้งในช่องทางออนไลน์และร้านค้าทั่วไป

ผลิตภัณฑ์เด่น:

  1. ลิปทินท์
  2. คุชชั่นและแป้งผสมรองพื้น
  3. มาสคาร่า

จุดเด่น:

  • ดีไซน์บรรจุภัณฑ์น่ารัก สไตล์เกาหลี
  • ราคาย่อมเยา เข้าถึงได้ง่าย
  • มีผลิตภัณฑ์ที่ตามเทรนด์เกาหลีล่าสุด

จุดด้อย:

  • คุณภาพอาจไม่สูงเท่าแบรนด์เกาหลีแท้
  • บางผลิตภัณฑ์อาจไม่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นของไทย

ความคิดเห็นของผู้ใช้:

  • ชื่นชอบดีไซน์และสไตล์ที่เหมือนแบรนด์เกาหลี
  • พอใจกับราคาที่ย่อมเยา
  • บางคนรู้สึกว่าคุณภาพยังไม่เทียบเท่าแบรนด์เกาหลีแท้

บทสรุป

XOXO เป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการนำเสนอเครื่องสำอางสไตล์เกาหลีในราคาที่จับต้องได้สำหรับผู้บริโภคชาวไทย แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องคุณภาพเมื่อเทียบกับแบรนด์เกาหลีแท้ แต่ด้วยราคาที่ย่อมเยาและการตามเทรนด์อย่างรวดเร็ว ทำให้ XOXO ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเครื่องสำอางสไตล์เกาหลี

อันดับ 10: Merrezca

ข้อมูลทั่วไป:

  • ก่อตั้ง: เป็นแบรนด์เครื่องสำอางไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
  • จุดเด่น: เครื่องสำอางคุณภาพสูง มีเคาน์เตอร์แบรนด์เป็นของตัวเอง
  • กลุ่มเป้าหมาย: ผู้หญิงวัยทำงานที่ต้องการเครื่องสำอางคุณภาพดี
  • แบรนด์ Merrezca:
  •  
  • แบรนด์เครื่องสำอางสัญชาติไทยแนวเกาหลี
  • ก่อตั้งโดยคุณบูม เกริกไกรวัล แสงประดิษฐ์
  • เริ่มต้นเมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว (ราวปี 2015)
  • ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นผลิตและนำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้
  • คุณภาพเทียบเท่าเครื่องสำอางเคาเตอร์แบรนด์ แต่ราคาสบายกระเป๋า
  • มุ่งเน้นให้สาวไทยได้อวดผิวสวยอย่างมั่นใจในสไตล์ตัวเอง
  • ชื่อแบรนด์มาจากคำว่า “เมล็ดกล้า” ในภาษาไทย
  • ผลิตภัณฑ์แรกที่โด่งดังคือ Snail Smooth BB Cream
  • ใช้กลยุทธ์การตลาดผ่าน Twitter เป็นหลัก
  • เน้นการใช้ Influencer Marketing และ Allowlisting บน Twitter
  • มีการปรับตัวในช่วงวิกฤตโควิด-19 โดยยังคงโฟกัสที่เครื่องสำอาง

ผลิตภัณฑ์เด่น:

  1. รองพื้น Merrezca Perfect Skin Essence Foundation
  2. ลิปสติก Merrezca Speak Velvet Lip
  3. อายแชโดว์ Merrezca Eyeshadow Palette
  4. Merrez’ca Skin Up Liquid Foundation
  5. Perfect Brow Pencil
  6. Blink Blink Eye Palette

จุดเด่น:

  • คุณภาพสูง เทียบเท่าแบรนด์นำเข้า
  • มีเคาน์เตอร์แบรนด์เป็นของตัวเอง สร้างความน่าเชื่อถือ
  • ผลิตภัณฑ์หลากหลาย ครอบคลุมทุกความต้องการ

จุดด้อย:

  • ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับแบรนด์ไทยทั่วไป
  • การกระจายสินค้าอาจไม่ครอบคลุมเท่าแบรนด์ดรักสโตร์

ความคิดเห็นของผู้ใช้:

  • ประทับใจกับคุณภาพที่เทียบเท่าแบรนด์นำเข้า
  • ชื่นชอบการมีเคาน์เตอร์แบรนด์ ทำให้ได้ทดลองสินค้าก่อนซื้อ
  • บางคนรู้สึกว่าราคาค่อนข้างสูงสำหรับแบรนด์ไทย

บทสรุป

Merrezca เป็นแบรนด์ที่สร้างจุดยืนในการนำเสนอเครื่องสำอางคุณภาพสูงในราคาที่ถูกกว่าแบรนด์นำเข้า การมีเคาน์เตอร์แบรนด์เป็นของตัวเองช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและให้โอกาสลูกค้าได้ทดลองสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ แม้ว่าราคาอาจสูงกว่าแบรนด์ไทยทั่วไป แต่ Merrezca ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการเครื่องสำอางคุณภาพดีในราคาที่สมเหตุสมผล การพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องและการสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งทำให้ Merrezca มีศักยภาพในการเติบโตและแข่งขันกับแบรนด์นำเข้าได้ในอนาคต

สรุปภาพรวมของ 10 แบรนด์เครื่องสำอางไทยยอดนิยมในปี 2024

  1. Srichand: แบรนด์ตำนานที่ผสมผสานความเป็นไทยกับนวัตกรรมสมัยใหม่
  2. 4U2: แบรนด์ที่ตอบโจทย์วัยรุ่นด้วยความหลากหลายและราคาย่อมเยา
  3. CUTE PRESS: เน้นคุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้ ได้รับรางวัล HWB 2024
  4. Mistine: แบรนด์ยุคแรกที่ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
  5. Oriental Princess: ผสมผสานสมุนไพรไทยกับเทคโนโลยีสมัยใหม่
  6. BSC: นำเสนอคุณภาพระดับพรีเมียมในราคาที่ถูกกว่าแบรนด์นำเข้า
  7. Sasi: แบรนด์ย่อยของศรีจันทร์ที่เจาะกลุ่มวัยรุ่น
  8. KMA Cosmetics: เน้นกลุ่มวัยเรียนด้วยสีสันสดใสและราคาประหยัด
  9. XOXO: นำเสนอสไตล์เกาหลีในราคาที่เข้าถึงได้
  10. Merrezca: แบรนด์ที่มีเคาน์เตอร์เป็นของตัวเอง เน้นคุณภาพสูง

แต่ละแบรนด์มีจุดเด่นและกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ทำให้ตลาดเครื่องสำอางไทยมีความหลากหลายและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม การพัฒนาคุณภาพ นวัตกรรม และการปรับตัวตามเทรนด์ความงามล่าสุดทำให้แบรนด์เครื่องสำอางไทยสามารถแข่งขันกับแบรนด์นำเข้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกัน ราคาที่ย่อมเยากว่าและความเข้าใจในสภาพผิวและสภาพอากาศของคนไทยก็เป็นข้อได้เปรียบสำคัญของแบรนด์ไทย

ในอนาคต คาดว่าแบรนด์เครื่องสำอางไทยจะยังคงเติบโตและพัฒนาต่อไป โดยอาจเน้นการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติมากขึ้น การพัฒนาสูตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้